Episode 30 - รู้ตัวช้า



I AM DEW
Episode 30


ก่อนอ่านตอนนี้ อ่านดิวเด๋อในจอยลดาให้ถึงตอนที่ 30 ก่อนนะคะ
*ปล. เหมือนกับที่ลงในแอพค่ะ อันนี้ลงให้เผื่อบางคนอ่านไม่ได้ เนื่องจากแอพยังไม่เสถียร 



By Au
13.00
“ตาบวมอย่างกับผึ้งต่อย อันนี้บวมเพราะอ้วนขึ้นหรืออะไรครับ”
ผมเอ่ยทักบุคคลที่เพิ่งจะมาเยือนกับดาดฟ้าของตึก เพียงแค่ได้ยินแบบนั้นเจ้าตัวเขาก็มองมาด้วยสายตาขวางๆ หากแต่วันนี้กลับไร้คำด่าสวนกลับอย่างที่ควรจะเป็น จูนทำเพียงมองหน้าผมเงียบๆ หลังจากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆราวกับคนที่กำลังเหนื่อยล้า
ยอมรับว่าไม่ชินเท่าไหร่ เพราะปกติเราสองคนจะเถียงกันเป็นประจำ แล้วมันก็ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่ผมเห็นว่าการที่ยั่วโมโหอีกฝ่ายได้สำเร็จดันเป็นเรื่องสนุก
จูนเป็นคนที่.. เรียกว่ายังไงดีอะ ค่อนข้างจะอวบ ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาผมเคยเห็นนะว่าเขาผอม แต่ดูเหมือนว่าตอนปิดเทอมอีกฝ่ายจะกินจุกกินจิกหนักไปหน่อย.. ไม่หน่อยอะผมว่า สังเกตได้จากสตอรี่ของอินสตาแกรมที่อัพรูปไก่ทอดอยู่บ่อยๆก็เลยทำให้ตัวบวมออกด้านข้างอย่างห้ามไม่ได้
ความจริงมันก็ไม่ได้น่าเกลียดหรอกครับ จะว่าไปแล้วห้องของพวกเราก็มีแต่คนหน้าตาดีกันทั้งนั้น โดยเฉพาะตัวผมเอง
ไม่ใช่ดิ
ไม่ใช่เวลาเข้าข้างตัวเอง
ผมล้อเล่น
สำหรับตัวจูนเองก็ถือว่าเป็นคนที่หน้าตาดีคนหนึ่ง ปากนิด จมูกหน่อย แก้มเยอะแต่ก็น่าดึงดี ติดแค่สกิลปากร้ายของเจ้าตัวนี่แหละถึงทำให้ไม่ค่อยมีคนกล้ายุ่งสักเท่าไหร่ ยกตัวอย่างเช่นตอนที่พวกเราจีบเอย ไอ้เคก็ไปเข้าหาทางแว่น ส่วนไอ้ตี๋ก็มีไปถามข้อมูลของเอยจากทางที่รักบ้าง แต่พวกเราไม่คิดที่จะถามจูนเพราะกลัวจะโดนด่ากลับมามากกว่า
มันก็เป็นเช่นนี้แหละครับ
แต่ส่วนตัวแล้วผมชินกับสกิลปากของจูนมันนะ อาจเป็นเพราะผมเป็นพวกคิดน้อย ไม่คิดอะไรมาก ไม่เอาอะไรมาเก็บไว้ในใจเลยสักอย่าง ความจริงมันก็มีทั้งข้อดีทั้งข้อเสียนะครับ การไม่คิดอะไรเกินไปบางทีมันก็แย่ แต่ในเมื่อตัวของผมวัดแล้วว่ามันทำให้เราสบายใจมากกว่า ผมก็เลยเลือกที่จะทำต่อไป
“กินข้าวดิ กินปะ?”
“กูไม่หิวอะ” เขาตอบแบบนั้น จูนทิ้งตัวลงนั่งย่อเข่าอยู่บนพื้นก่อนจะกอดขาของตัวเองไว้
“นั่งท่านั้นเดี๋ยวก็ปวดเข่าหรอก มึงยิ่งอ้วนๆอยู่”
“ไปหนักหัวมึงรึไงล่ะ” เขาสวนกลับมาทันควัน คำพูดนั้นทำให้ผมหัวเราะ ถึงแม้ว่าเขาจะพูดออกมาแบบเนือยๆก็เถอะ
“ไหนเป็นไร บอกหมอซิ หมอจะได้รักษา”
“ถ้าน้ำหน้าอย่างมึงเป็นหมอนะอู๋ กูคงไปทำงานที่นาซ่าอะ”
เนี่ย
เนี่ย
การเถียงแบบเนี่ย
โคตรตลก
“แหม แซวนิดแซวหน่อยไม่ได้เลย สรุปเป็นไรล่ะ ไม่ต้องบอกหมอก็ได้ บอกกูนี่แหละ”
“...”
แต่พอถึงตรงนี้จูนกลับเลือกที่จะเงียบ ผมยืนมองเขาอยู่นานพอสมควร และเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวไม่พูดอะไรออกมา ผมเลยย่อตัวลงไปนั่งอยู่ตรงพื้นบ้าง
แขนทั้งสองข้างพาดอยู่บนเข่าในขณะที่เอนตัวพิงกับกรงเหล็กด้านหลัง ผมเหยียดขาข้างหนึ่งไปด้านหน้าก่อนจะเหลือบมองข้างแก้มของคนที่กำลังซึมโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่ยอมปริปากอะไรเลย
“ไม่สบายใจที่จะพูดสินะ”
“...”
“แต่ถ้ามันอึดอัด ระบายได้นะเว้ย อย่าเก็บไว้คนเดียว”
“...”
“จูน”
“เรียกชื่อกูเป็นด้วยหรอ” เขาหัวเราะหึในลำคอ แต่น้ำเสียงที่สื่อออกมากลับสั่นน้อยๆ จนตัวผมเองก็เผลอชะงักไป
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาล้อเล่นนี่หว่า”
“กูไม่รู้.. ว่าควรจะพูดอะไร..” เขาเว้นจังหวะในการพูดแบบช้าๆ ให้เดาว่าเจ้าตัวคงจะต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการปั้นเสียงไม่ให้สั่น แต่ขอโทษนะครับ
หลังจากที่ฟังผู้หญิงร้องไห้ให้ฟังมาหลายคน ผมว่าผมรู้
รู้ว่ามันไม่ง่าย
“เดี๋ยวพูดไป.. มึงก็จะด่ากูอีกคนนึง”
“กูจะด่ามึงทำไมอะ นี่มารับฟังเฉยๆ”
“ด่าแน่ เพราะกูงี่เง่า”
“อะสัญญา กูจะไม่ด่า ถ้าด่าให้ตบอีกข้างเลย” ผมชูนิ้วก้อย แต่เขาไม่สนใจแฮะ “จริงๆนะ ตอนนี้กูเป็นร้อนในอยู่ โดนตบทีเจ็บสัส มึงต้องสะใจมากแน่”
“กูไม่ทำหรอก” เขาสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะพ่นออกมายาวๆแล้วเหลือบตาขึ้นไปมองด้านบน
ในที่สุดจูนก็ทิ้งก้นลงมานั่งที่พื้น ลมเย็นๆบนดาดฟ้าไม่ได้ช่วยให้ความร้อนๆในอกของผมหายไปได้สักนิด ตราบใดที่เขายังไม่พูดผมก็คงจะรู้สึกแบบนี้ต่อไป แผ่นหลังของอีกฝ่ายดูว่างเปล่าจนน่าใจหาย แล้วนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกได้ว่าตอนนี้เขาเหลือตัวคคนเดียวจริงๆ
“ฮึก..”
“เฮ้ย.. ไม่เอาดิ”
ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่ผมส่งมือไปแตะเบาๆที่ตรงหลังนั้น แต่เพียงแค่สัมผัสลงไปคนตรงหน้าก็สะอื้นออกมาหน้าตาเฉย บอกตรงๆว่าผมโคตรอึ้งกับภาพที่เห็น จากคนที่เคยเถียงกันด่ากันมาตลอด พอในวันนี้มาเห็นมุมที่เขาอ่อนแอขนาดนี้
ต้องบอกตรงๆ
ว่าโคตรจะน่าสงสาร
“ไม่ร้องๆ” ผมลูบหลังของเขาในขณะที่เจ้าตัวสะอื้นต่อไป ท่ามกลางความเย็นของสายลมและแสงแดดอ่อนๆมีเพียงเสียงร้องไห้ของคนปากจัดดังอยู่รอบตัว
“กู.. กูอะ เป็นเพื่อนที่.. ไม่ดี อึก ไม่ดีมากๆเลยป้ะ?”
“ใครว่ามึงอะ”
“ทั้งๆที่ ฮึก กูเป็นห่วง เป็นห่วงมากๆเลย”
“พวกเอยอะนะ?”
“ที่รัก ฮึก แต่แบบ.. กูแค่ไม่อยากให้เพื่อนเสียใจ กับเรื่องของ ฮึก ความรัก”
“ไม่ขยี้ตาดิ เดี๋ยวแม่งก็แดงอะ” ผมจับแขนของเขาไว้ ในขณะเดียวกันก็ขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆแล้วบรรจงลูบหลังอย่างแผ่วเบา
“ไม่เคยมีใครจะฟังกูซักคน” เจ้าตัวเริ่มเกริ่นต่อ “ตั้งแต่ตอนที่เอยนอนกับพวกมึง ก็มีแต่กูคนเดียวที่ค้าน แต่มันก็ไม่ฟัง แล้วยังไงอะ กูก็ต้องปล่อยเลยถามเลย.. พออยากให้มันจริงจังกับใครซักคนในกลุ่มของพวกมึง เพราะคนอื่นจะมองมันไม่ดี มันก็ไม่ฟัง.. ไม่ทำ.. แล้วก็กลายเป็นขี้ปากให้คนอื่นนินทา”
“...”
เอ้า
เหมือนผมจะโดนด่าแฮะ
“คือมันไม่ดี แต่กูก็ห้ามอะไรไม่ได้”
“...”
“แต่อย่างน้อยมันก็ไม่เสียใจ อึก.. เพราะตอนนั้นเอยมันก็ไม่ได้จริงจังอะไร กูก็ไม่รู้นะว่ามันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีที่มันไม่จริงจัง แต่มันก็เลือกที่จะปล่อยตัวแทน”
“...”
“แต่พอถึงจุดจุดหนึ่ง ที่มันเจอดิว แล้วจริงจัง.. แบบชอบจริงจัง ชอบไอ้ดิวมากจนกูสัมผัสได้ว่ามันกำลังอินเลิฟอะ กูก็เริ่มเป็นห่วง”
“ยังไงวะ? มันควรจะดีใจไม่ใช่อ่อ เพื่อนเจอคนที่ชอบแบบจริงๆอะ”
“ก็ควร แต่อยากให้ตัดสินใจดีๆ ไม่ใช่ไวไปหมดแบบนี้”
“...”
“เอยมันเป็นคนรักใครรักจริง รักมาก รักแบบยอมทุกอย่าง จนบางทีกูก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราต้องโยนใจทั้งหมดไปให้ความรักขนาดนี้วะ แต่เออ กูก็พยายามคิดว่าคนเราไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้ามันจะรักใครสักคน กูก็อยากให้มันเจอคนที่ดีๆ”
“อืม” ผมพยักหน้า จนถึงตอนนี้คงทำได้แค่เป็นผู้ฟังที่ดี ถึงแม้ว่าอยากจะเสนอความคิดเห็นอะไรออกไป แต่ผมก็คิดว่ามันอาจจะยังไม่เหมาะก็เป็นได้
“นั่นแหละ ทำให้กูไปขัดมันเยอะพอสมควร เพราะไม่อยากให้มันแบบ.. จะใช้คำว่าไรอะ หลงแฟน”
“...”
“จะรักทั้งที ก็รักจริงๆ ไม่ใช่หลง อยากให้ดูดีๆ จะได้ไม่เสียใจ เพราะประวัติของไอ้ดิวมันก็ใช่ย่อยอยู่อะ”
“อืม”
“แต่ทีนี้ ที่รักบอกว่ากูเป็นคนนอก กูไม่รู้หรอกว่าดิวมันดีกับเอยยังไง ไม่รู้ว่าเคมันดีกับซียังไง แล้วก็ไม่รู้ว่าพี่เดี่ยวเขาดีกับมันยังไง เพราะฉะนั้นกูไม่ควรจะออกตัวแรงอะไรขนาดนี้”
“มันก็ใช่นะ เพราะบางคนอะ ถึงเขาจะเหี้ยมากแค่ไหน แต่ถ้ากับคนที่เขารัก เขาก็พร้อมจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้อยู่แล้ว”
เนี่ย ไอ้อู๋
คำพูดมึงโคตรหล่อ
แต่จูนกลับหัวเราะเหอะ
“แต่กว่าจะรู้ว่ามอบสิ่งที่ดีให้ได้หรือไม่ได้ มันก็ควรจะใช้เวลาศึกษากันก่อน ถูกปะล่ะ?”
“ก็.. ขึ้นอยู่กับว่านิยามของคำว่า ศึกษากันของมึงคืออะไร”
“สำหรับกูหรอ มันก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่คุยกันไปก่อน อย่าเพิ่งอยู่ด้วยกันเยอะ อย่าเพิ่งนอนด้วยกัน แบบ.. อือ”
“นั่นคือความคิดของมึงไง”
“แล้วมันผิดหรอ?”
“มันก็ไม่ผิด เรื่องแบบนี้มันไม่มีใครผิดใครถูก เพราะมันแล้วแต่มุมมองของแต่ละคนว่าจะคิดแบบไหน ถูกปะ?”
“...”
“อะ อย่างมึง อยากจะมีความรักแบบใสๆวัยมัธยม มันก็ไม่ผิดที่มึงจะรักนวลสงวนตัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเอยผิดที่นอนกับคนอื่นอะ มันก็เป็นความพอใจของเอยเอง ไม่มีใครบังคับ”
“...”
“ถ้ามึงลองปรับมุมมองของมึง คิดอีกแง่ว่าอย่างน้อยเอยตกลงเลือกไอ้เหี้ยนั่นแล้ว และเอยมีอะไรกับมันคนเดียว รักมันคนเดียว มันก็ดีกว่าตอนที่เอยไม่เลือกพวกกูซักทีปะ?”
“...ก็ อืม มันก็ใช่ แต่แบบ มันก็ไวไปอยู่ดี”
“เนี่ย เรื่องเวลาก็เหมือนกัน สำหรับมึงอาจจะแบบ รู้จักกันแค่สองเดือนเอง แต่สำหรับอีกคนเขาอาจจะคิดว่า ก็ตั้งสองเดือนแล้วอะ”
“...”
“คำว่าแค่ กับ คำว่าตั้ง มันแล้วแต่ว่าคนจะมองแบบไหน แต่เรื่องแบบนี้มึงก็ไม่ผิด ส่วนเขาก็ไม่ผิด มึงเข้าใจที่กูจะสื่อรึเปล่า?”
ผมเห็นเขาเม้มริมฝีปาก ก่อนจะยกมือขึ้นมาขยี้ตาอีกครั้งเพื่อไล่น้ำตาให้มันเหือดไป เจ้าตัวพยักหน้าแบบช้าๆ หลังจากนั้นก็เป็นฝ่ายเปิดฝาถังไก่ทอดที่ผมซื้อเอาไว้ในตอนแรกขึ้นมากัด
เออ
แปลว่าสบายใจแล้ว
ถึงได้มีอารมณ์กินต่อ
“มึงทำให้กูต้องโดดเรียนด้วยเลยนะ พะยูน”
“หรือจะไม่ให้กูแดกล่ะ เสียดายของ” เขาถามแบบค้อนๆ ไก่ทอดที่อยู่ในปากทำให้แก้มพองออกมาในขณะที่เจ้าตัวเคี้ยวตุ่ยๆ
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร สบายใจได้ก็ดีแล้ว กูเองก็ขี้เกียจจะเรียนเหมือนกัน”
“งืม วันนี้กูนั่งคนเดียว โคตรเหงา”
“แล้วนี่คือทะเลาะกับเอยจนไม่คุยกันเลย?”
“ทะเลาะกับที่รักหนักสุด เอยกับซีทักมาหากูอยู่แหละ แต่ยังไม่กล้าตอบ ไม่รู้เหมือนกัน กูเข้าใจพวกมันนะว่าอึดอัด แต่บางทีก็อยากให้พวกมันเข้าใจบ้างว่าตัวกูเองก็เป็นห่วงอะ”
“มึงก็ต้องห่วงแบบพอดีเว้ยเข้าใจปะ” หยิบไก่ทอดขึ้นมากินไปพร้อมๆกับเขา เอาดีๆก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยครับ เพราะตอนแรกคิดว่าจะชวนให้กินด้วยกัน กลัวเขาจะไม่มีเพื่อนงี้ แต่ดูจากสภาพแล้ว ถ้าปล่อยให้กินคนเดียวก็น่าจะหมดปะวะเนี่ย
“เราเป็นเพื่อนเราก็ทำได้แค่เตือนๆนั่นแหละ ส่วนเขาจะทำอะไร จะตัดสินใจเลือกแบบไหน มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา”
“ก็รู้”
“คำว่าเพื่อนอะ ก็ให้มันหมายความว่าคนที่คอยอยู่ข้างๆไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข มึงดีใจกูมีความสุขด้วย มึงร้องไห้มากูคอยปลอบ แค่นั้นก็พอแล้ว”
“อือ”
“มึงอย่าไปตัดสินใจแทนใคร จริงๆนะ ทุกวันนี้เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะว่ะ” ผมใช้ปลายนิ้วก้อยเขี่ยซอสที่ตรงข้างแก้มของเขาออกให้ หากแต่จูนกลับหันมามองแล้วถอนหายใจ
“พูดอะมันก็พูดได้ แต่ถามจริงๆเถอะ ถ้ามึงรู้ว่าไอ้คนคนนั้นมันไม่ดีอะ มึงจะไม่เตือนเพื่อนมึงเลยหรอ?”
“ก็อาจจะบอกไปว่าดูให้ดีๆละกันนะมึง แค่นั้นก็พอ ปล่อยให้มันเลือกเอง เจ็บเอง ได้ลองเรียนรู้เอง แบบนี้อะ”
“อือ กูคงผิดจริงๆอะ เพื่อนอึดอัดกันหมด จนไม่กล้าคุยด้วยเลย” เขาว่าพลางถอนหายใจ ก่อนจะหยิบไก่ชิ้นใหม่ขึ้นมากัดต่อ
เออเอาเถอะ นึกว่ามันจะนอยด์จนทิ้งให้ไก่ทั้งหมดนี่เป็นหมันซะแล้ว บอกเลยว่าสั่งมาแบบด่วนๆ ขอชุดใหญ่ที่สุดเพื่อที่จะสืบความลับเลยนะ แต่ดันได้มาปลอบคนซะนี่
“ถ้าแบบนั้นตอนที่พวกกูแข่งกันจีบเอย มึงน่าจะด่ายับเลยสินะ ใช่มั้ยพะยูน” ผมหาเรื่องชวนคุยไปเรื่อย เพราะกลัวว่าเจ้าตัวจะวกกลับไปอยู่ในจุดที่ตัวเองเศร้าอีก
“ก็มึงเหี้ยอะ มันก็ต้องด่าสิ” เขาตอบออกมาพร้อมกับมองตาขวาง แล้วนั่นก็ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปด้วยเราะแทบจะทันที “ขำอะไร?”
“ก็เปล๊า ด่าว่าไงมั่ง ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อย”
“โอ๊ยเยอะ เริ่มด่าทั้งแต่แรกๆอะ ที่แม่งอะไรวะ คิดแผนการจีบเหี้ยอะไรของพวกมึง ไม่ให้เกียรติเพื่อนกูเลยสักนิด ไหนจะเรื่องตีกับคนอื่นอีก วางตัวเป็นใหญ่ ไม่น่าคบเลย คิดว่าหล่อมากรึไง? แต่พอเวลาผ่านไปก็แบบ อะๆ พวกมึงก็ดูแลเพื่อนกูดีอยู่ แล้วก็เห็นว่าจีบมันแค่คนเดียว ไม่ได้มีสาวเล็กสาวใหญ่ เลยหันไปยุเอยแทน เพราะอย่างที่บอกอะ ไม่อยากให้ใครมองมันไม่ดี แต่ก็ไม่สำเร็จ”
“อ้อ..”
“จนตอนนี้จะกลับมาด่าอีกรอบละ ไอ้เคนะไอ้เค อะไรวะ เปลี่ยนเป้าหมายไปจีบซีเฉยเลย คิดว่าจีบเอยไม่ติดแล้วจะหลอกเพื่อนกูหรอ มันยิ่งหัวอ่อนๆอยู่”
“เหย ไอ้เคมันรักจริงนะ” ผมรีบค้านในทันที “กูเป็นเพื่อนมันอะ กูรู้ว่าตอนนี้มันเปลี่ยนไปยังไง”
“แต่ซีมันจะไม่คิดมากหรอวะ ก็คนเคยๆกันปะ ถ้าเป็นกูนะ.. บอกตรงๆว่ารับไม่ค่อยได้อะ ขอไม่ยุ่งดีกว่า”
“คนทุกคนล้วนมีอดีตปะล่ะ เนี่ย มึงคิดแทนเพื่อนอีกแล้ว ยังรับไม่ได้ใช่ว่าซีต้องคิดแบบมึงซักหน่อย”
“มันอดไม่ได้นี่หว่า..” เขาพองแก้ม แต่ถึงอย่างนั้นตอนเวลาถัดมาก็พยักหน้ายอมรับ
“หลักๆที่มึงต้องเข้าใจคือทุกคนมีอดีต เรื่องเหี้ยๆในอดีตมันลบล้างไม่ได้ก็จริง แต่ไม่ได้แปลว่าในปัจจุบันหรืออนาคตเขาจะเหี้ยไปตลอด ถ้าไม่อย่างนั้นจะมีคำว่ากลับตัวกลับใจไว้ทำไมวะ”
“ไม่เหมือนมึงใช่ปะ อดีตเหี้ยยังไงตอนนี้ก็เหี้ยแบบนั้น”
“โห ยังจะแขวะกูนะอ้วน” ผมส่งมือไปดันหัวเขาทีนึงด้วยความหมั่นไส้ จูนมองตาขวางในทันทีหลังจากนั้นก็ยกมือขึ้นเตรียมจะฟาด แต่เหมือนเขาจะนึกได้ว่าถือน่องไก่อยู่เลยเลือกที่จะส่งมันเข้าปากแทน
“ก็เพิ่งทำผู้หญิงร้องไห้ไปนี่ เหี้ยจริงปะล่ะ”
“แล้วมึงอยากสัมผัสกับคำว่าเหี้ยกะคนอื่น แต่ดีกะมึงคนเดียวปะล่ะ”
“...อะไร?”
เออ
นั่นดิวะ
ผมพูดอะไรวะ
แต่คือแบบ
“ก็ตามนั้นอะ” ผมยักไหล่ ในขณะที่จูนมันมองมาด้วยสายตาที่ไม่ไว้วางใจ แต่ผมกลับคิดว่าใบหน้าแบบนั้นโคตรจะตลก
และด้วยความที่ตัวผมเองไม่ใช่คนที่คิดช้าหรือรู้ตัวช้า สุดท้ายแล้วผมก็ได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจเบาๆ
ไอ้ชิบหายเอ๊ย สวยๆแบบพี่ปริมนี่ไม่ชอบ กลับมาชอบไอ้อ้วนตรงหน้านี่หรอวะฮะ
ผมมั่นใจนะว่าความรู้สึกของตัวเองมันไม่ผิด ตอนที่เห็นว่าจูนร้องไห้ก็เหมือนกับอะไรบางอย่างในใจได้ถูกปลดล็อก แล้วมันก็ชัดเจนขึ้นในตอนที่เห็นว่าเขาเบิกตากว้างและกำลังจะชี้หน้าด่าผม
“ไอ้เหี้ยอู๋ มึงจะแกล้งอะไรกู”
นี่แหละ นี่แหละ
หน้าแบบนี้แหละที่ชอบ
ผมชอบมันแน่ๆอะ
ไม่ได้คิดไปเองด้วย
“กูจีบมึงดีกว่าพะยูน”
“ห้ะ”
“เนี่ย อ้วนๆอย่างมึงอะหาแฟนไม่ได้แน่ กูจะเป็นผู้เสียสละเองครับ มาให้จีบซะดีๆ”
.
.
.
.
.
.

01.29
By Dew

ไม่ต้องตามหาละ
กูเจอเอยแล้ว

และตรงหน้าของผม
ก็คือเอย
ที่เดินมากับ
ไอ้เหี้ยหมอก

โทรศัพท์ในมือถูกบีบอย่างแรงพร้อมกับลมหายใจที่สูดเข้าลึกๆ คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติในขณะที่จ้องมองคนทั้งสองซึ่งกำลังเดินมาทางนี้ เอยกับมันคุยอะไรกันสักอย่าง ก่อนที่ขาทั้งสองข้างจะหยุดชะงักเมื่อเขาหันมาสบตากับผมพอดี
เป็นเพราะผมไม่รู้ว่าเอยอยู่ที่ไหน โทรไปหาก็ไม่ยอมรับสาย ผมก็เลยคิดในแง่ดีก่อนว่าเอยอาจจะไปซื้อของแถวๆคอนโดก็เป็นได้ เขาอาจจะเก็บโทรศัพท์ไว้ในห้อง แต่ถึงอย่างนั้นก็สั่งให้ไอ้ซันกับไอ้กุลออกไปตามหาที่ผับหรือร้านเหล้าใกล้ๆด้วย
เพราะผมกลัวว่าเขาจะเมาเหมือนอย่างวันนั้นอีก
ผมเป็นห่วงจนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
แต่สุดท้ายคือ..
เขากลับมากับไอ้หมอกเนี่ยนะ
พวกเรายืนมองหน้ากันด้วยอารมณ์ที่ผมเองก็เดาจากเขาไม่ออก ไอ้หมอกยังคงนิ่ง และต้องยอมรับว่าหน้าของมันก็กวนอวัยวะเบื้องล่างของผมไม่น้อย
เอยไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลยสักคำ ผิดกับผมที่ข้างในใจมันเดือดปุดๆแล้วก็มีแต่คำถามอะไรก็ไม่รู้วนอยู่เต็มไปหมด
ไปไหนมา
ทำไมไปอยู่กับมัน
ทำไมกลับมากับมัน
ดึกป่านนี้แล้วออกไปข้างนอกทำไม
ให้ตาย
มันมากกว่านี้อีกสักร้อยคำถามได้ แต่ผมก็เดือดเกินกว่าที่จะถามออกไป จะยอมรับแบบแมนๆเลยว่าความจริงอยากต่อยไอ้เหี้ยหมอกชิบหาย แต่ก็ไม่รู้สิครับ
สายตาที่เอยมองผม
มันนิ่งจนผมไม่กล้าทำอะไรเลย
“จะให้หมอกอยู่เป็นเพื่อนมั้ยคะ?”
เสียงของไอ้เหี้ยหมอกดังขึ้นทำลายความเงียบ คำถามนั้นทำให้ผมบีบโทรศัพท์แน่นกว่าเดิมแต่ก็ยังเลือกที่จะไม่ขยับตัว คำพูดของไอ้ซันลอยเข้ามาในหัวแทบจะทันที

เห็นเขาอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่เราอะ แม่งเจ็บชิบหาย กูพูดตรงๆเลย

เออ จนถึงตอนนี้รู้แล้วว่าถ้าปล่อยให้เวลาผ่านไปอีกนิดผมคงจะทนไม่ได้ อย่าว่าแต่ไอ้หมอกนี่เลย ไม่ว่ามันจะเป็นใครก็ตามที่มายุ่งกับเอย ผมคงจะไม่ยอม
“หมอกกลับเถอะ เดี๋ยวเอยก็นอนแล้ว วันพรุ่งนี้ไปโรงเรียนนะ”
“เอยอยู่ได้แน่นะ?”
“ได้สิ นี่มันห้องของเอย ทำไมจะอยู่ไม่ได้ล่ะ”
ผมฟังทั้งสองคนพูดกันแบบเงียบๆ ไอ้หมอกมองมาทางนี้ด้วยสายตาที่ชั่งใจ ในขณะที่ผมเอาลิ้นดุนแก้มแล้วมองมันตอบอย่างไม่กลัว
สุดท้ายแล้วก็เป็นเอยที่ยกมือบอกลาแล้วเดินตรงเข้าไปในคอนโด ผมจ้องหน้าไอ้หมอกอยู่อีกสักพัก ก่อนจะเป็นฝ่ายถอยหลังแล้วเดินตามเอยไปโดยที่ไม่ปล่อยให้เวลาในตรงนี้สูญเปล่า
ร่างเล็กทำเหมือนกับผมเป็นอากาศ เอยกดอกยืนรอลิฟต์แบบที่ไม่พูดอะไรกับผมสักคำ บรรยากาศรอบๆตัวของเราค่อนข้างจะอึดอัด ส่วนในหัวของผมก็ยังคงเต็มไปด้วยคำถาม แต่ผมกลับไม่รู้ว่าจะชวนเขาคุยอะไรดี
เอยไม่ได้ห้ามให้ผมเดินตาม แต่เขาก็ยังคงไม่คุย
ยิ่งในตอนที่เราทั้งสองคนอยู่ในลิฟต์มันก็ยิ่งแย่ ผมมองไปรอบๆ จ้องหน้าของร่างเล็กผ่านทางเหงาสะท้อนของประตูลิฟต์แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ
ไอ้ดิว
อย่าโมโหสิวะ
เอยไม่ได้ไปทำอะไรหรอก
แต่นี่มันก็ดึกแล้วไม่ใช่หรอวะ
แล้วทำไมไอ้เหี้ยนั่นมาส่ง
ทำไม
โอ๊ยแม่ง
ผมจะบ้าแล้ว

ติ๊ง

เสียงนั้นหยุดความคิดที่ตีกันอยู่ในหัว พร้อมกับสองขาที่ก้าวออกไปทางด้านหน้า ผมยังไม่มีโอกาสที่จะได้ถามเขาเลยสักคำ ในขณะที่เอยเองก็ไม่ได้แม้แต่จะหันมามองทางด้านหลังเลยสักนิด
“เอย”
ผมตัดสินใจเรียกในตอนที่เขาเปิดประตูห้อง มือบางชะงักเอาไว้พร้อมกับเอียงหน้ามาทางด้านหลังเล็กน้อย ริมฝีปากบางเฉียบยังคงปิดสนิท ไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากเขาเลย ความนิ่งนั้นทำให้ผมไม่กล้าถามอะไรอีก จนสุดท้ายเอยก็บิดลูกบิดประตูแล้วเดินนำเข้าไปในห้อง
บานประตูที่ไม่ได้ปิดลงทำให้ผมมองมันอย่างชั่งใจ ผมไม่รู้ด้วยซะว่าควรจะตามเอยเข้าไปรึเปล่า มันจะผิดมั้ย จะถือว่าเสียมารยาทมั้ย หรือผมควรจะปิดประตูให้เขาแล้วถอยหลังกลับ
...
ไม่
ผมว่าผมต้องคุยกับเอยให้รู้เรื่องก่อน
คิดได้แบบนั้นผมก็ยอมเป็นคนเสียมารยาท กลิ่นอายเดิมๆลอยมาแตะจมูกในตอนที่ผมก้าวเขาไปในห้อง ทุกอย่างยังเหมือนกับครั้งแรกที่ได้มาเยือน มีเพียงแค่เจ้าของห้องที่เปลี่ยนและดูห่างเหินไปจนหน้าใจหาย
“เอยครับ”
“...”
“ไปไหนมา?”
ผมเม้มริมฝีปาก เพราะเอยทำเพียงทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงก่อนจะเหลือบขึ้นมามองหน้าของผม สายตานั้นเย็นชามากจนรู้สึกกลัวอะไรบางอย่าง
มันเป็นสิ่งที่ผมมองไม่เห็นหรอก แต่ว่า..
“มาทำไม?”
นั่นแหละครับ
เขาโคตรจะเย็นชาเลย เอยไม่ตอบคำถามของผมด้วยซ้ำ ส่วนตัวผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาโกรธ แล้วก็ด้วยความที่เอาแต่ใจนั่นแหละ ผมถึงได้..
“ตอบดิวก่อนว่าเอยไปไหนมา?”
ก็ผมถามก่อนอะ
แล้วผมต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้ด้วย
“ดิวจะยุ่งอะไรกับเอยอะ เอยจะไปไหนมันก็เรื่องของเอยปะ” แต่ดูสิ่งที่เขาพูดออกมาสิ มันยิ่งเหมือนคนที่สาดน้ำมันเข้ากับกองเพลิง
ซึ่งเพลิงที่ลุกไหม้อยู่นั้นจะเป็นอะไรได้นอกจากตัวของผมเอง
“แต่ต้องไม่ใช่เวลานี้ดิครับ แล้วก็ไม่ใช่กลับมากับไอ้เหี้ยนั่นด้วย”
“ทำไมหรอ?”
“...”
“เป็นอะไรกันหรอ ถึงมาถามอะ”
โอเค
จึก
ผมส่งลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก เอยจ้องหน้าผมนิ่งเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แล้วนั่นก็ทำให้ผมกลัวจริงๆแล้วนะ
“เราคุยกันดีๆได้มั้ยครับ?” ผมถอนหายใจและเปบี่ยนมาใช้น้ำเย็นเข้าลูบ ทำไมมันกลับกลายเป็นผมที่รู้สึกอยากจะร้องไห้ ความรู้สึกในตอนนี้มันน่าหงุดหงิดมากกว่าตอนที่พ่อโทรมาตามให้กลับบ้านแล้วก็ด่าผมรัวๆเมื่อชั่วโมงก่อนนี้อีก เป็นเพราะผมถูกสั่งให้กลับบ้านในทันทีหลังจากเลิกเรียน แต่วันนี้ผมขัดคำสั่งของเขาเต็มๆนี่แหละ
“ก็คุยดีอยู่นี่ไง ดิวจะเอาดีขนาดไหนอีกอะ?”
“คุยเหมือนเดิม แบบที่เคยคุยกัน”
“แบบไหนหรอ?”
“...”
“แบบตอนที่เราคบกันอยู่หรอ?”
“...”
“ก็ตอนนี้ไม่ได้คบแล้วนี่”
“นี่คือเหตุผลที่เอยไปกับมันใช่ปะ?” ผมยอมรับว่าตัวเองเสียงดัง
โอเค ผมงี่เง่าแหละ พูดไว้ตรงนี้เลย แต่ข้างในมันแย่ไปหมดแล้ว ตอนนี้ผมแค่ต้องการให้เอยอธิบายมาว่าทำไมถึงไปกับมัน เจอมันได้ยังไง มันก็แค่นั้นอะ เพราะว่าผมไม่สบายใจ แล้วก็ไม่ชอบขี้หน้าของมันด้วยประเด็น
คือมันเคยชอบเอยปะ?
“อะไร?”
“...”
“หมอกเป็นเพื่อนเอย ทำไมเอยจะไปไหนมาไหนกับหมอกไม่ได้อะ”
“แล้วมันคิดแค่เพื่อนมั้ยครับ?”
“แล้วจะทำไมหรอ ก็ไม่ได้มีแฟนปะ?”
“เอย ดิวโมโหแล้วนะ” ผมจ้องเขานิ่ง พอถึงตอนนี้ผมไม่ตลกด้วยหรอกกับการที่เอยจะเถียงอะไรก็ตามที่ทำให้ผมไม่ได้คำตอบซักที ข้างในใจมันสั่นไปหมด ถ้าจะเทียบให้เห็นภาพคงต้องบอกว่าตอนนี้ตัวผมไม่ต่างกับภูเขาไฟที่ใกล้จะระเบิดเต็มทน
“เอยรักดิวไปได้ไงวะ”
แต่เขากลับถามออกมาแบบนั้น ฉับพลันสายตาที่แข็งกระด้างก็จางหายไป เหลือเพียงแค่น้ำใสๆที่เอ่อล้นออกมาพร้อมกับความผิดหวังที่กระแทกหน้าของผมอย่างจัง
“ต้องการไรอะ? เป็นอะไรกันหรอ?”
“เอย”
“คิดจะมาก็มา.. คิดจะไปก็ไป เอยง้อก็ไม่กลับมา ตอนนี้ อึก..กลับมาทำเหมือนหวง ฮึก..ทำไม ต้องทำตัวยังไง.. ตามไม่ทันแล้ว ฮึก”
ไม่รู้ว่าเป็นเขาแพ้หรือผมแพ้
ผมทรุดตัวลงกับพื้นก่อนจะสวมกอดเขาเอาไว้แน่น ใบหน้ากดแนบอยู่ตรงหน้าท้องบางพร้อมกับกระชับกอดให้แน่นมากขึ้นอีกราวกับกลัวว่าเขาจะหายไป
เอยยังคงสะอื้นไห้ ในขณะที่ผมปวดไปทั้งใจ มันพูดอะไรไม่ออก เสียงร้องไห้ของเขายังคงก้องอยู่ในหู รู้ตัวอีกทีเสื้อที่ร่างเล็กสวมใส่อยู่มันก็เปียกไปหมด
น้ำตาของผมเอง
ผมขอโทษ
ข้างในใจผมขอโทษเอยเป็นพันครั้งแต่มันพูดไม่ออก เอยไม่หยุดสะอื้น ในขณะที่ไหล่ของผมก็สั่นจนควบคุมตัวเองไม่ได้ จนถึงตอนนี้ผมยอมหมดแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็เสียเอยไปไม่ได้
ผมไม่อยากได้รับสายตาเย็นชาจากเขาอีก มันเจ็บจนบรรยายไม่ถูก แล้วผมก็รู้ซึ้งแล้วว่าเอยรู้สึกแย่ยังไงกับการที่ผมเอาแต่นิ่งใส่เขาในตอนที่อยู่โรงเรียน
“ดิวขอโทษครับ ขอโทษ”
“...”
“เอย ดิวขอโทษ”
เขาเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบน เอยไม่ได้ผลักผมออกแต่ก็ไม่ยอมกอดตอบ ร่างเล็กกัดริมฝีปากในขณะที่ก้มลงมาสบตาด้วย แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ผมเดาสายตาของเขาไม่ออก ภายในห้องเต็มไปด้วยความเงียบในขณะที่เอยยกมือขึ้นปาดน้ำตา
“ทำไมต้องเป็นเอยที่ยอมทุกทีอะ”
“...”
“ทีดิวยังใจแข็งกับเอยตั้งหลายวัน”
“แล้วเอยจะพอกับดิวละหรอครับ?” ผมเอาคางเกยเอาไว้ตรงตักของเขา ถึงแม้ว่าเอยจะมีแนวโน้มว่ายังรักผมอยู่ก็เถอะ แต่ผมกลับกลัวๆยังไงก็ไม่รู้
“เอยตัดใจจากดิวแล้ว”
“...”
“ไม่เอาแล้ว”
“ครับ”
ผมคลายกอดออกจากเอวบาง เหมือนข้างในใจมันโดนบีบ เพราะเอยพูดด้วยสีหน้าที่นิ่งเหมือนในตอนแรก ราวกับว่าเขาได้สร้างกำแพงที่สูงแบบโคตรๆขึ้นมากั้นระหว่างผมไว้ แม้ว่ามันจะมองไม่เห็นก็เถอะ แต่มันมีกั้นอยู่จริงๆ
“ครับคืออะไรอะ?”
“ก็ถ้าเอยตัดสินใจแบบนั้น ดิวก็ทำอะไรไม่ได้รึเปล่า”

ปึก!!

ก่อนที่หมอนใบใหญ่จะถูกเหวี่ยงมาฟาดเข้าที่หน้าของผมอย่างจัง เอยขมวดคิ้วเข้าหากันพร้อมกับมองด้วยสายตาโกรธๆ ส่วนตัวผมเองก็งงจนเหวอไปหมดเพราะเริ่มจะตามเขาไม่ทันเช่นกัน
“เอย”
“ไม่รักเอยใช่มะ?”
“รักดิ ไม่งั้นดิวจะง้อทำไมอะ”

ปึก!

“เอย”
“แบบนี้เรียกง้อหรอ นิสัยไม่ดีอะ” เขาหน้าบึ้งกว่าเดิมซะอีก ก่อนจะยกหมอนเตรียมฟาดผมอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมรีบรุดตัวขึ้นยืนเสียก่อน
“ถ้าดิวง้อเอยจะกลับมาปะล่ะ”
“ทำไมต้องคิดแบบนั้นอะ ทีเอยยังง้อดิวทั้งๆที่ดิวไม่กลับมาเลย ไม่รู้ว่าดิวจะกลับมารึเปล่าแต่ก็ยังง้อเหมือนคนโง่”
“...”
“ดิวไม่ได้รักเอยเท่าที่เอยรักดิว”
“รักดิครับ แต่แบบ.. เดี๋ยวก่อนนะ เอยยังไม่ตอบคำถามดิวเลย ทำไมกลับมากะไอ้หมอก?”
“ไม่ใช่เรื่องของดิว” เขาวางหมอนเอาไว้ที่เดิมก่อนจะถอนหายใจ ร่างเล็กมีสีหน้าที่ยังเคืองอยู่ แต่ก็ต้องขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ที่ทำให้สายตานิ่งๆของเขานั้นหายไปแล้ว
“ดิวขอรู้แค่นี้แหละ แล้วเอยอยากจะให้ดิวทำอะไรก็สั่งมาได้เลย”
“...”
“นะครับ”
“...”
“เอย”
“เอยแค่ออกไปเที่ยว” เขาเกริ่นหลังจากที่ถอนหายใจออกมายาวเหยียด เอยดูเหมือนไม่อยากจะเล่า แต่สุดท้ายเขาก็ปริปากในตอนที่ผมมองแบบต้องการคำตอบจริงๆ “แต่ร้านที่เอยไป ดันเจอหมอกนั่งอยู่คนเดียวพอดี เอยก็เลยเข้าไปนั่งด้วย”
“ทำไมอะ? ทำไมต้องเป็นมัน”
“เอ้า ก็หมอกเป็นเพื่อนเอย เรียนห้องเดียวกันมาตั้งนาน ทำไมหรอ?” เขาเชิดริมฝีปากราวกับจะถามว่า มีปัญหาอะไรรึเปล่า? แล้วนั่นก็ทำให้ผมถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัว
“แล้วนอกจากนั่งคุยมันยังลวนลามเอยมั้ย?”
“ไหนบอกขอรู้แค่เรื่องเดียวไง ถามทำไมอีกอะ”
“เอิงเอย” ผมเสียงแข็ง
“ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันหนิ” เขายกแขนขึ้นมากอดอกไว้พร้อมกับมองมาด้วยสายตาที่มุ่งมั่น
“งั้นกลับมาคบกัน” ผมพูดออกไปในทันที “..นะครับ” ก่อนจะปิดท้ายประโยคในแบบที่คิดว่าซอฟต์ที่สุดแล้วนะ แต่เอยก็ยังไม่ยิ้มอยู่ดี
“เอาแต่ใจอะ ทำไมเป็นคนแบบนี้”
“ดิวผิดเองอะ ขอโทษได้มั้ยครับ”
“เอยจะฟังจูนเยอะๆแล้ว อย่างน้อยก็ควรจะดูกันนานๆ”
โห ยากเลย
ฟังอะไรจากจูนอีกล่ะ วันนั้นผมเพิ่งจะโดนจูนดุมาเนี่ย
“หมายถึงดิวนั่นแหละ ให้เวลากลับไปคิดดูให้ดีๆเถอะว่าอยากจะคบกับเอยไปทำไม”
“ก็ดิวรั..”
“อย่าพูดคำนั้น คำว่ารักไม่ใช่แบบที่ผ่านมานะ... ดิวยังไม่รู้จักมันแบบดีพอเลยด้วยซ้ำ เอยไม่อยากโดนบอกเลิกแล้ว”
“...”
“ไม่อยากโดนทิ้งอีก ไม่อยากเสียใจแล้ว”
“ครับ”
ผมก็เข้าใจเขานั่นแหละ เรื่องที่เกิดขึ้นมันก็เพราะว่าผมทำตัวเองด้วย ถึงตรงนี้ก็คงจะต้องยอมรับผิดในทุกๆอย่าง เพราะตัวผมเองก็ไม่อยากทำให้เขาร้องไห้เหมือนกัน
ไม่ว่าจะโดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ
คนอย่างเอยก็ไม่เหมาะกับน้ำตาหรอกครับ
“ดิวรักเอยนะ”
“...”
“รู้ว่าที่ผ่านมามันแย่ แต่ก็.. ขอบคุณที่ยังไม่เบื่อกันครับ”
“ถ้าจะคบกัน ก็คงจะมีหลายเรื่องที่ต้องปรับเข้าหากัน สำหรับเอย เอยพร้อมที่จะปรับ แต่เอยไม่รู้ว่าดิวพร้อมไปกับเอยมั้ย”
“พร้อมดิ ตอนนี้รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร หมายถึง.. ผมก็โตขึ้นอีกนิด แล้วก็จะทำให้มันดีขึ้นไปอีกครับ”
“เราต้องคุยกันอีกเยอะนะ แต่ตอนนี้เอยง่วงนอนแล้ว”
“งั้นนอนกัน” ผมพยักหน้ารับ แต่ในขณะที่กำลังจะเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียง มือเล็กๆนั้นก็ส่งมาดันเอาไว้ที่ตรงหน้าท้องเสียก่อน “หืม?”
“นี่ห้องนอนเอย”
ห้ะ?
ผมมองไปตามทางที่เขาบุ้ยปาก ก่อนจะพบว่าเอยเขา.. ไม่ให้ผมนอนด้วยในคืนนี้
“ให้ดิวไปนอนโซฟา?”
“จะนอนพื้นก็ได้นะ ไม่ว่าหรอก”
“เอยไม่เอา แล้วดิวจะกอดใครอะ”
“ง้อเอยไม่ง่ายนะ”
ก็เขาว่าแบบนั้น แล้วตัวผมเองจะไปเถียงอะไรได้ล่ะครับ
อย่าไปบอกให้ใครรู้ว่าไอ้คนที่เพื่อนเรียกว่าท่านดิว ยอมเดินคอตกไปนอนโซฟาที่อยู่ข้างนอก ถึงแม้ว่ามันจะน่าเสียดายอยู่หน่อยๆ แต่ถ้าแลกกับรอยยิ้มที่เอยมอบให้ก่อนจะออกมา มันก็น่าจะคุ้มแล้วล่ะครับกับเรื่องวันนี้
ความจริงผมต้องกลับบ้านนะ เพราะแม่โทรตามยับเลย แต่ถึงแม้ว่าที่บ้านจะมีเตียงใหญ่ๆให้นอน ผมก็เลือกที่จะอ้อนคุณแม่ตามแบบฉบับที่เคยทำ ถ่ายรูปส่งกลับไปให้เห็นว่าตอนนี้อยู่กับเอยไม่ได้เถลไถล

แม่จะบอกน้องเอยให้งอนน้องดิวหนักๆไปเลย

โถ่แม่ครับ
เอยจะงอนก็งอนได้นะ
ผมสัญญาว่าจะง้อเขาเรื่อยๆ
ง้อจนกว่าจะใจอ่อน จนกว่าจะได้กลับมาคบกันอีกครั้ง
แล้วจนถึงตอนนั้น ผมจะไม่ปล่อยเขาให้หลุดมือไปอีก
เป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ




tag #ดิวเด๋อ 

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I AM JUMP : Episode 01

Episode 16 - อย่าชักช้าสิครับคุณ

Episode 12 - จำได้รึเปล่า (2/2)